ไวรัส RSV รู้ทันป้องกันลูกหลาน | Pattaya City Hospital | โรงพยาบาลเมืองพัทยา เราพร้อมดูแลคุณ

ความรู้เรื่องโรค

ไวรัส RSV รู้ทันป้องกันลูกหลาน

Date : 14 October 2015

ช่วงปลายฝนต้นหนาวระหว่างเดือนสิงหาคม - ตุลาคม เป็นช่วงที่เด็ก ๆ มักจะป่วยบ่อย เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงและมักจะรับเชื้อโรคได้ง่าย โดยเฉพาะไวรัส RSV ที่มีอาการคล้ายไข้หวัดแต่ส่งผลรุนแรง ถึงขั้นปอดอักเสบติดเชื้อได้

RSV (Respiratory Syncytial Virus) เป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้ทางเดินหายใจอักเสบในผู้ป่วยทุกช่วงอายุ แต่อาการจะเป็นมากในช่วงวัยเด็ก โดยเฉพาะเด็กอายุน้อย มีการระบาดบ่อยในทุกฤดู โดยเฉพาะช่วงอากาศเย็นหรือหนาว โดยผู้ป่วยจะติดเชื้อ RSV จากการรับเชื้อทางเดินหายใจ เช่น ไอ จาม น้ำมูก สารคัดหลั่ง จากคนสู่คนโดยการสัมผัส หรือละอองน้ำมูกของผู้ป่วยคนอื่น และมีระยะฟักตัวประมาณ 2-7 วัน เฉลี่ย 4 วัน และอาจส่งผลรุนแรงถึงขั้นเป็นโรคปอดบวม ปอดอักเสบ และหอบหืดได้

อาการเริ่มต้นจะมีน้ำมูกใส ต่อมามีอาการไอ จาม ไข้ต่ำๆ ไข้อาจจะมีหรือไม่ก็ได้ขึ้นกับภูมิต้านทานแต่ละคน ถ้าเป็นในเด็กโดยเฉพาะเด็กเล็กจะมีอาการปอดบวม ไอ หอบได้ง่าย เด็กจะมีอาการหายใจเร็ว หอบเหนื่อย บางครั้งเป็นมากจะหายใจดัง “วี้ด” ถ้าเป็นมากขึ้นจะมีอาการหายใจล้มเหลวได้ เช่น หน้าอกบุ๋ม กระสับกระส่าย ซึม กินไม่ได้ โดยผู้ป่วยแพร่เชื้อได้นานประมาณ 3-8 วัน ส่วนมาก 3-4 วันแรก โดยผ่านสารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก/ น้ำลาย ทั้งนี้ผู้ป่วยที่เป็น RSV แล้ว สามารถเป็นซ้ำได้หลายครั้งตลอดชีวิต แต่อาการจะน้อยลง ดังนั้นผู้ใหญ่จะอาการน้อยกว่าในเด็ก และเด็กโตจะอาการน้อยกว่าเด็กเล็กตามอายุ

เนื่องจากไม่มียารักษาโรค RSV โดยเฉพาะการรักษาเป็นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ ผู้ป่วยควรพักผ่อนให้เพียงพอ กินยาบรรเทาอาการตามแพทย์สั่ง เด็กเล็กอาจมีอาการรุนแรง ควรได้รับการรักษาในโรงพยาบาล ทั้งนี้ในบางรายอาจให้การรักษาด้วยการให้ยาขยายหลอดลม ยาแก้ภูมิแพ้ ซึ่งมีรายงานการใช้ยาในกลุ่ม singulair สามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น หอบหืดในเด็กได้

"ร่างกายแข็งแรงเกราะป้องกัน RSV"
เนื่องจากในประเทศไทยยังไม่มีวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส RSV ทำให้เด็ก ๆ มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสในช่วงที่แพร่ระบาดได้มากโดยเฉพาะสถานที่ที่เด็กอยู่กันมากๆ เช่น โรงเรียนหรือสถานรับลี้ยงเด็ก ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยให้ลูกไม่ป่วยจากโรคนี้ คือ การมีร่างกายที่แข็งแรงและรู้จักวิธีหลีกเลี่ยงภาวะเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรค ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
• ล้างมือบ่อย ๆ หลังจากทำกิจกรรม หรือก่อนกินอาหาร
• งดไปในสถานที่แออัด เช่น โรงเรียน สถานเลี้ยงเด็ก
• ทำความสะอาดของเล่น
• ผู้ป่วยต้องปิดปากหรือใส่หน้ากากอนามัยเวลาไอจามเพื่อป้องกันการติดเชื้อ หรือเมื่อต้องไปอยู่ในสถานที่ที่มีคนแออัด

ขอบคุณข้อมูลจาก : เว็บไซต์ Nonthavej